วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เปิดโปงขบวนการล้มเจ้า ของ นักโทษ ทักษิณ ชินวัตร

มุ่งสู่สาธารณรัฐ
    
       สำหรับขบวนการล้มเจ้า หรือขบวนการสาธารณรัฐ เริ่มปรากฎเป็นหลักฐานอ้างอิงชัดเจนมากขึ้นจากคำพูดและคำยืนยันจากปากของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันหวนกลับมาเป็นประธานพรรคเพื่อไทยและเกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมขบวนการที่ร่วมสร้างความปั่นป่วนนั่นเอง
    
       น่าตกใจก็คือก่อนหน้านั้นเขายืนยันถึง “ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า” ว่ามีอยู่จริงและกำลังคุกคามขยายวงออกไปอย่างน่ากลัว เนื่องจากมีขั้นตอนและเป้าหมายสูงสุดถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ “สาธารณรัฐ”
    
       โดยขบวนการดังกล่าวกำลังรุกคืบในหลายช่องทาง ทั้งในรั้วมหาวิทยาลัย สถาบันทางวิชาการ ในรัฐสภา แม้กระทั่งภายในรัฐบาลก็ไม่เว้น
    
       นอกจากนี้ยังใช้วิธีการเผยแพร่ความคิดผ่านทางสื่อบางกลุ่มไปยัง ประชาชน ซึ่งรวมไปถึงการอิงแอบไปกับการเคลื่อนไหวบนท้องถนนอย่างแนบเนียนอีกด้วย
    
       การโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์มีให้เห็นเด่นชัดเมื่อประมาณ 2-3 ปี ที่ผ่านมา และมีให้เห็นมากขึ้นในช่วง 3 รัฐบาลที่แล้ว คือรัฐบาล ทักษิณ ต่อเนื่องมาจนถึง สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์
    
       ยุคไทยรักไทยขบวนการใต้ดินเติบโต
    
       นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล “ขบวนการล้มเจ้า” หรือ “ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมไปถึง “ขบวนการสาธารณรัฐ” เริ่มขยายเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่างบังเอิญเป็นอย่างยิ่ง
    
       ในระยะเริ่มแรกหลายคนอาจจะไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดเว็บไซต์หมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ ให้ร้าย บิดเบือนและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่มีการกล่าวขานกันมากก็คือเว็บไซต์ “มนุษยด็อทคอม” ที่มุ่งโจมตี บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแม้ว่าในปัจจุบันจะถูกปิดไปแล้ว แต่กว่าจะดำเนินการได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลาผ่านไปเนิ่นนานนับปี
    
       เปลี่ยนเพลงชาติ-เปลี่ยนบัตรประชาชน
       

       ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2548 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีแนวคิดจะเปลี่ยนเพลงชาติไทยใหม่ โดยให้กระทรวงกลาโหมประสานงานกับระทรวงวัฒนธรรมในยุค อุไรวรรณ เทียนทอง มอบหมายให้บริษัทจี เอ็มเอ็มแกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เรียบเรียบเสียงประสานใหม่ และมีผลสรุปออกมาเป็นเพลงชาติไทย 6 รูปแบบใหม่ดังนี้ คือ1. แบบเป็นทางการ 2. แบบเข้มแข็ง แต่ไม่แข็งกร้าว 3. แบบเปิดในงานลีลาศ 4. แบบแดนซ์รุ่นใหม่เอาใจวัยรุ่น 5. เวอร์ชันแบบเอาใจเด็กเล็ก 6. เวอร์ชันเอาใจผู้สูงอายุ มีเครื่องมโหรีช่วยบรรเลง แต่หลังจากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปก็มีเสียงคัดค้านและตำหนิรัฐบาลอย่าง รุนแรงว่าเป็นการทำลายเอกลักษ์และอัตลักษณ์ของวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานจน มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เรื่องก็เงียบไป
    
       นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงบัตรประชาชนขึ้นใหม่ โดยมีความพยายามยกเลิกตราครุฑซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ บนบัตรประชาชนแบบใหม่ที่เรียกว่าบัตรสมาร์ทการ์ด อ้างว่าเพื่อสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล ป้องกันการปลอมแปลง หรือเพื่อความมั่นคง สารพัด
    
       ขณะเดียวกันรัฐบาลในยุคนั้นยังได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 ว่าด้วยการจ้างพนักงานของรัฐ โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 เป็นต้นมา โดยอ้างว่าการเปลี่ยนฐานะดังกล่าวเพื่อให้เกิดความหลากหลาย และความเหมาะสมในการใช้กำลังคนภาครัฐให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับการ บริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
    
       เพราะหากพิจารณาคำนิยามของ “ข้าราชการ” ตั้งแต่สมัยโบราณมีความหมายถึงการปฏิบัติราชการในลักษณะรับใช้พระเจ้าแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์
    
       ตั้งสมเด็จพระสังฆราชซ้อน
    
       ต่อมายังได้ลงนามเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547 แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มี สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นประธาน อ้างว่า สมเด็จพระญาณสังวร สังคปรินายก สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันประชวร มิอาจปฏิบัติพระภารกิจได้
    
       กรณีที่เกิดขึ้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าเป็นการละเมิดพระ ราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งที่หากพิจารณาตามโบราณราชประเพณีแล้วพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จ พระสังฆราช หรืออย่างน้อยก็ต้องขอพระราชทานกราบทูลเพื่อให้ทรงวินิจฉัยเสียก่อน
    
       “ไทยคู่ฟ้า”เทียบชั้นประมุข
    
       อาจเป็นเพราะเห็นสหรัฐมีเครื่องบินประจำตำแหน่งที่เรียกว่า “แอร์ฟอร์ซวัน” หรือเปล่าไม่ทราบ หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าตัวเองมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในประเทศนี้อยู่ในกำมือ จึงมีความทะเยอทะยานต้องการเสริมสร้างบารมีให้สูงเด่นเกินระดับผู้นำธรรมดา แม้ว่าเมื่อหันไปดูสหรัฐอเมริกาที่ใช้เครื่องบินดังกล่าวเป็นพาหนะเป็นระดับ ประมุขของชาตินั่นคือประธานาธิบดี และเป็นประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก และเพื่อความปลอดภัยของผู้นำ
    
       ขณะที่ไทยยังถือว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา และในอดีตไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดมีความคิดที่จะมียานพาหนะเป็นเครื่องบิน ประจำตำแหน่งเลย
    
       สำหรับการซื้อเครื่องบิน “ไทยคู่ฟ้า” หรือ แอร์บัส เอ 319 ACJ มาใช้ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2547 โดยใช้งบประมาณของรัฐ เฉพาะค่าเครื่องบินประมาณ 2 พันล้านบาท ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาอีกเดือนละไม่ต่ำกว่า 55 ล้านบาท แม้ว่าจะจอดอยู่เฉยๆไม่ได้ใช้งานก็ตาม
    
       แต่ที่น่าสนใจก็คือความเป็นมาของเครื่องบินลำนี้ ที่นำมาจากการนำเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งไปแลกมาพร้อมกับเพิ่มเงินอีก 30 ล้านเหรียญกว่าจะได้มา ซึ่งแทนที่จะนำไปซื้อเครื่องบินพระที่นั่งเพราะในเวลานั้นมีสภาพเก่าใช้งาน มานานกว่า 20 ปี แต่รัฐบาลยุคนั้นกลับนำไปซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่งนายกฯแทน
    
       ทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตีตนเสมอเจ้า
    
       การสร้างกระแสเพื่อเสริมสร้างบารมี เพื่อให้เกิดความศรัทธาจากประชาชนยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และนับวันจะยิ่งเข้มข้นและพิสดารพันลึกมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เครือข่ายระบอบทักษิณมักนำมาใช้ก็คือเรื่อง “พิธีกรรม” บางครั้งถึงกับใช้วิธีการแบบ “ระลึกชาติ” แบบหลุดโลกพิสดาร เพื่อรองรับและโน้มน้าวความเชื่อของมวลชนในระดับล่างที่มีความคุ้นเคยกับ เรื่องเหล่านี้ตามวิถีชีวิตดั้งเดิมแบบสืบทอดกันมาแบบรุ่นต่อรุ่น เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ผู้นำ “หน้าเหลี่ยม” ก็มีที่มา “ไม่ธรรมดา” เหมือนกัน
    
       ที่ผ่านมาเคยมีอุตริอุปโหลกให้ ทักษิณ ชินวัตร เป็น “พระเจ้าตากสิน” กลับชาติมาเกิด เพื่อมากอบกู้ชาติก้มี และบังเอิญว่าในภาษาอังกฤษก็ใช้คำว่า TAKSIN ซึ่งชื่อไปพ้องกันพอดี
    
       นอกจากนี้ยังมีภาพวาด “พญากือนา” หรือ “พระเจ้ากือนาธรรมิกราช” ที่ตามประวัติระบุว่าเคยเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์เม็งราย ปกครองอาณาจักรล้านนา สันนิษฐานว่าทรงครองราชย์ในราวปี พ.ศ.1898-1928 และกษัตริย์พระองค์นี้ยังทรงอัญเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไปประดิษฐานบน ดอยสุเทพ สร้างคุณูปการมากมาย
    
       แต่ที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดไปมากกว่านั้นก็คือมีความพยายามจงใจวาดพระพักตร์ของพญากือนาในยุคหลายร้อยปีก่อนให้มี “ใบหน้าเหลี่ยมๆ” เหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีผิด
    
       นอกจากนี้ยังมีการหล่อรูปปั้นพระพุทธรูป “ชินวัตรมุณี” ในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจที่เป็นพระพุทธรูปใบหน้าปางสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกัน
    
       อุปโหลก“พระเจ้ามูลเมือง-เจ้าษิณ”
    
       ยังมีพิธีกรรมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ที่วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่คราวนี้ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดญาติผู้พี่ถึงกับลงทุนไปนั่งเป็นประธานในพิธีด้วย ตัวเอง พร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่งร่วมกันทำพิธีทำบุญสืบชะตานัยว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ตามข้อมูลของคนทรงยืนยันว่ากำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรตามเอาชีวิต
    
       ในพิธีกรรมดังกล่าวมีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งในชุดนุ่งขาวห่มขาวมาเข้าทรงแล้วอ้าง “ข้อมูลใหม่” สมัยเมื่อชาติปางก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเป็นกษัตริย์ปกครองหัวเมืองล้านนา ในอดีตมีชื่อว่า “พระเจ้ามูลเมือง” หรือ “เจ้าษิณ” และเชื่อว่าสาเหตุที่ต้องประสบเคราะห์กรรมในขณะนี้ เป็นเพราะกรรมในอดีตชาติตามมารังควานจึงต้องมีการปัดเป่าให้พ้นไป
    
       แต่ที่เหิมเกริมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกันไปกว่านั้นก็คือในการทำพิธี ดังกล่าวมีการเขียนชื่อบุคคลระดับสูงที่ชาวบ้านทั้งประเทศเคารพนับถือ และบุคคลสำคัญคนอื่นๆ หลายคนที่ถูกระบุว่าเป็นศัตรู เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงคนอื่นๆที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามและคิดว่าเป็นศัตรูกับตนเองอีกหลายคนรวม อยู่ด้วย
    
       พิธีกรรมดังกล่าวทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอันมากว่าเป็น เสมือนจงใจสร้างภาพหรือยกฐานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นลักษณะของสมมุติเทพ ไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป
    
       แม้ว่าพิธีกรรมแบบนี้อาจจะสร้างความตลกขบขันให้คนทั่วไปที่ไม่เชื่อ ถือในเรื่องไสยศาสตร์ดังกล่าวเห็นว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่สำหรับวิถีชีวิตในชนบทก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังยึดมั่นอย่างเคร่งครัด ประกอบกับมีขบวนการ “ปล่อยข่าว” อย่างเป็นขั้นเป็นตอนมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมากขึ้นไปอีก
    
       นั่งบนพรมแดงเป็นประธานในวัดพระแก้ว
    
       ปรากฎการณ์ที่สร้างความสงสัย สร้างความปวดร้าวและความไม่พอใจระคนกันมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายได้ดำเนินการมาโดยตลอดนั้นมีเป้าหมายสูงสุดคืออะไรกันแน่
    
       สิ่งที่สะกิดใจและเริ่มเกิดความสงสัยผุดขึ้นในใจเป็นทวีคูณเมื่อได้ เห็นภาพที่ปรากฎขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2548 ของ ทักษิณ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี “ศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ” หรือที่เรียกกันว่า “พิธีทำบุญประเทศ” ภายในอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ “วัดพระแก้ว” ซึ่งเป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานในพระบรมมหาราชวัง
    
       พิธีดังกล่าวมี ทักษิณ นั่งอยู่บน “พรมแดง” ในตำแหน่งที่พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ชั้นสูงทรงประทับ โดยมีบุคคลในครอบครัว และคณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วม ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ ศ.ระพี สาคริก ซึ่งเป็นปูชนียบุคคล และ พล.อ.พิจิตร กุลวณิชย์ องคมนตรี ทนไม่ได้ต้องออกมาท้วงติงในทำนองว่าเป็นการเหิมเกริมตีเสมอเจ้า
    
       ทำลาย พล.อ.เปรมกระทบชิ่งสถาบัน
    
       ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบอบทักษิณ ได้ใช้มวลชนเสื้อแดง รวมทั้งเครือข่ายใต้ดินแทบทั้งหมดมุ่งเน้นโจมตีสถาบันองคมนตรี โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แต่หากพิจารณาให้ดีก็หมายถึงต้องการให้กระทบไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์นั่น เอง
    
       เป็นการรับรู้กันอยู่แล้วว่า องคมนตรีเปรียบเหมือนที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ขณะที่ พล.อ.เปรม ก็เปรียบได้กับประธานที่ปรึกษา มีที่มาจากการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งและให้พ้นจากตำแหน่งเป็นไปตามพระราช อัธยาศัย ดังนั้นการก้าวล่วงโจมตีองคมนตรี หรือประธานองคมนตรี น่าจะมีเจตนาที่แท้จริงสูงไปกว่านั้นแน่นอน
    
       หากเปรียบสถาบันองคมนตรีเป็นขาเก้าอี้ที่ค้ำยันรองรับสถาบันพระมหา กษัตริย์ ดังนั้นเมื่อจะทำลายให้ได้ผลสำเร็จก็ต้องเลื่อยขาเก้าอี้ให้ขาดไปก่อน อีกทั้งยังสามารถอำพรางมวลชนที่บริสุทธิ์ให้หลงทาง เข้าร่วมขบวนการโดยไม่รู้ตัว โดยอ้างว่าการขับไล่ พล.อ.เปรมก็คือการปกป้องสถาบัน
    
       อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องควรรู้ก็คือการเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม และองคมนตรีคนอื่นๆลาออก เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ.พิจิตร กุลลวณิชย์ เป็นต้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วง ทำให้ระคายเคือง เพราะการแต่งตั้งหรือให้พ้นจากตำแหน่ง ต้องมีการโปรดเกล้าฯตามพระราชอัธยาศัย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเป็นก็เป็นได้ ดังนั้นบุคคลที่รับตำแหน่งดังกล่าวนอกจากต้องความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์สูงแล้วยังต้องได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยอีกด้วย
    
       ใช้สื่อเครื่องมือดิสเครดิต-ทำลาย
    
       ในยุคที่ระบอบทักษิณ ยังครองอำนาจรัฐ สื่อถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมืออย่างเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อ และที่สำคัญเพื่อโจมตีสถาบันเบื้องสูงซึ่งกระทำอย่างเป็นระบบมีทั้งประเภท สื่อหลัก สื่อรอง สื่อใต้ดิน อย่างเช่น ฟรีทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซต์ ใบปลิว รวมไปถึงการปล่อยข่าวลือตามแหล่งชุมชน หรือบนรถแท็กซี่ เป็นต้น
    
       ปรากฏการณ์ที่สร้างความแปลกประหลาดใจคนไทยเป็นอย่างมากกับการนำเสนอ รายงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที(ภายใต้การกำกับของ จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีสำนักนายกฯ) นำเสนอรายงานเกี่ยวกับการโค่นล้มราชวงศ์เนปาล ตามมาด้วยสารคดีเกี่ยวกับการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมไปถึงการโค่นล้มระบบกษัตริย์ในอังกฤษโดย นายพลครอมเวล
    
       ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นหากจะบอกว่าเป็นการรายงานสถานการณ์ตามข้อเท็จ จริงก็อาจจะกล่าวได้ ไม่ผิด แต่ผิดปกติตรงที่มีการรายงานในลักษณะพิเศษและเจาะจงจนผิดสังเกต เพราะมีความเคลื่อนไหวที่ “บังเอิญ” ต่อเนื่องกันต่อๆมา
    
       มติชน สุดสัปดาห์ยก “Case study”
    
       มติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2549 หยิบยกเอากรณีเนปาลมาเป็นกรณีศึกษา (Case study) ไม่น่าแปลกใจหากเป็นการนำเสนอความเคลื่อนไหวทั่วไป แต่นี่เป็นรายงาน “พิเศษ” และพิเศษไปกว่าอีกเมื่อนักหนังสือพิมพ์อาวุโสอย่าง เสถียร จันทิมาธร ที่เคยควบคุมกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวยังเป็นอดีตฝ่ายซ้ายเคย เคลื่อนไหวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) เคยมีชื่อจัดตั้งว่า “สหายดวง”
    
       สหายดวง เป็นคอลัมนิสต์คนเดียวกันนี่แหละที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยออกปากชื่นชมออกนอกหน้าว่ามีมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างเฉียบคม โดยพาะชื่นชอบงานเขียนในคอลัมน์ในหน้า 3 ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวันระหว่างแถลงข่าวประจำสัปดาห์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2549 มาแล้ว
    
       สื่อแดง-สื่อเทียมโหมโรงจาบจ้วง
    
       นอกจากจะมีสื่อกระแสหลักทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อ สร้างความนิยมให้กับระบอบทักษิณแล้ว บางโอกาสยังฉวยจังหวะคอยเป็นกระบอกเสียงหรือเปิดโอกาสให้ ทักษิณ ชินวัตร ชี้แจงกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามอย่างผิดปกติ ดังเกิดขึ้นกับกรณีของ จอม เพชรประดับ ที่ใช้คลื่นวิทยุอสมท.สัมภาษณ์สด เปิดโอกาสให้แก้ตัว(อาจเรียกว่าชี้แจง) รวมทั้งโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทย
    
       ระบอบทักษิณ รวมไปถึงขบวนการสาธารณรัฐเหล่านี้ยังได้ผลิตสื่อรอง หรือสื่อเฉพาะกิจหรือที่เรียกกันว่า “สื่อเทียม” ออกมามากมายเพื่อระดมโหมโจมตีสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง เท่าที่เห็นในสารบบตอนนี้ ซึ่งมีทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เช่น สถานีประชาธิปไตย(ดี-สเตชั่น) ก่อตั้งโดย อดิศร เพียงเกษ สถานีประชาชน (พีเพิลชาแนล) เป็นต้น
    
       ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ ก็มี ไทย เรดนิวส์ รายสัปดาห์ แนววิเคราะห์การเมืองไทย และ Red News หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน เป็นต้น
    
       วิทยุชุมชน เช่น วิทยุชุมชนอุดรคนรู้ใจ คลื่นเอฟเอม 87.75 วิทยุชมชนคนรักไทย คลื่นเอฟเอ็ม 95.25 วิทยุชุมชนเชียงใหม่ คลื่นเอฟเอ็ม 92.50 วิทยุชุมชนลำปางคลื่นเอฟเอ็ม 90.25 วิทยุชุมชนเชียงราย คลื่น 104 วิทยุชุมชนริมปิง วิทยุชุมชนลำพูน วิทยุชุมชนอุบล วิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ คลื่น 92.75 ฯลฯ
    
       นอกจากนี้ เครือข่ายระบอบทักษิณ ได้ใช้ยุทธวิธีโลกล้อมประเทศ โจมตีฝ่ายตรงข้ามในประเทศไทย ซึ่งหมายรวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยว่าจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ต่างประเทศโน้มน้าวสื่อชั้นนำ รวมไปถึงการจ้างบริษัทลอบบี้ยิสต์ที่มีอิทธิพลและเข้าถึงสมาชิกรัฐสภาของ สหรัฐ ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็คือ บริษัทบาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส จำกัด และบริษัท เบเกอร์ บ๊อทส์ จำกัด (BAKER BOTTS L.L.P.) ของนายเจมส์ เอ. เบเกอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ที่มีความใกล้ชิดกับนายจอร์จ บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โดยบริษัทหลังได้ว่าจ้างเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2549 รวมทั้ง บริษัท เอลเดอร์แมน ในกรุงวอชิงตัน และฮ่องกง เป็นต้น
    
       ใช้ “วัดธรรมกาย” ขยายมวลชน
    
       มวลชนถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเป้าหมายทางการเมืองในอนาคต ข้างหน้า แต่ปัญหาก็คือจะหามวลชนที่มีระเบียบวินัย มีการจัดตั้งที่ดี และที่สำคัญต้องมีจำนวนมากพอ ขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการอำนาจจากการเมืองในการปกป้องหรือช่วย “เคลียร์” บางเรื่องให้ผ่านพ้นไป อีกทั้งทำให้การขยายเครือข่าย “ธรรมกาย” ออกไปได้กว้างขวางและสะดวกทำให้ทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์ซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
    
       ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับธรรมกาย ที่ต้องมาอิงแอบอยู่กับ ระบอบทักษิณ ก็น่าจะมาจากเหตุผลต้องการพึ่งพาอำนาจรัฐในการขยายอาณาจักรความเชื่อแบบ “ลัทธิใหม่” ออกไปแบบไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ดังจะเห็นได้จากกรณีสั่งให้ถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ที่ ธรรมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกฟ้องเป็นจำเลย อย่างพิลึกพิลั่นคาใจคนทั้งประเทศมาแล้ว
    
       ลัทธิธรรมกายที่เน้นในเรื่อง “นิมิต” ซึ่งนิมิตนี้จะ กลม ใส สว่าง รวมไปถึงการอวดอ้างว่านิมิตดังกล่าวเป็นปากทางก่อนเข้าสู่นิพพาน อีกทั้งสอนให้เชื่อว่า นิพพานคือ “อัตตา” ซึ่งยังมีข้อถกเถียงกันว่าเป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และทุกคนสามารถเข้าถึงนิพพานได้หากปฏิบัติตามแนวทางธรรมกายรูปแบบที่กำหนด เอาไว้
    
       นอกจากนี้ยังอวดอุตริในเรื่องพิธีกรรมแปลกประหลาด สร้างเรื่องความเป็นคน “พิเศษ” ของ “แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง” ผู้ให้กำเนิดวัดธรรมกาย เป็นผู้อุปถัมภ์ พระธรรมชโย และเป็นผู้ชี้ทางให้บรรลุในวิชาธรรมกาย ซึ่งความพิเศษที่ว่านั้นก็คือ ทั้งสองคนดังกล่าวจะทำหน้าที่กลั่นอาหารทิพย์ที่นำมาจากข้าวปลาอาหารที่ชาว บ้านนำมาถวาย ซึ่งอาหารทิพย์ที่ว่านั้น ทั้งแม่ชีจันทร์กับ ธรรมชโย จะเป็นผู้นำไปถวายพระพุทธเจ้าเสวยในทุกข์วันอาทิตย์ต้นเดือน
    
       แค่นี้ก็ถือว่าแหกตาหลุดโลกแล้ว เพราะในบรรดาชาวพุทธทั้งหลายที่มีอยู่หลายล้านคนทั่วโลก ทำไมมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษได้เข้าเฝ้าฯในแดนนิพพานเท่า นั้น
    
       นอกจากนี้ยังอวดอุติสร้างกระแสอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อื่นๆ เช่น บอกว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองในขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดลงมาตอน แรกมีเป้าหมายที่ประเทศไทย เนื่องจากมีกองทหารญี่ปุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยการบำเพ็ญภาวนาของ แม่ชีจันทร์ เป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน มีตบะแก่กล้า ก็สามารถสร้างกุศล ปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปตกที่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิได้ ทำให้คนไทยรอดพ้นอันตราย
    
       แต่ขณะที่สร้างกระแสในเรื่องนี้เพื่อให้สาวกทึ่งและนับถือในความเก่งกาจ เพื่อสร้าง “อุปทานหมู่” แต่คงลืมไปว่าการที่ทำเช่นนั้นกลับไปสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับ ชาวญี่ปุ่นอีกนับแสนคนที่เสียชีวิตและทนทุกข์ทรมาณจากกัมมันตภาพรังสี มีบาดแผลทางกายและใจมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้มีบาปกรรมตามมาอีกเท่าไหร่ อย่างไรก็ดียังเป็นความโชคดีที่เรื่องนี้ยังไม่แพร่ไปถึงประเทศญี่ปุ่น หรือคนญี่ปุ่นฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นก็มีสิทธิ์จะโดนยำเละคา “จานบิน” ไปแล้วก็เป็นได้
    
       ที่ผ่านมาวัดธรรมกายสามารถสร้างเครือข่าย สร้างมวลชน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “สาวก” ได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในสมัยที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ เป็นลักษณะจัดตั้งแบบลูกโซ่ ซึ่งรวมไปถึงการให้เงินสนับสนุนกับวัดในต่างจังหวัด หรือโรงเรียนทั่วประเทศ ที่มักมีกิจกรรมในเรื่องพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ
    
       การขยายเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็วดังกล่าวทำให้ถูกมอง ว่าเป้าหมายแท้จริงของวัดธรรมกายคงไม่ใช่แค่เรื่องกิจกรรมในทางศาสนาโดยทั่ว ไปเท่านั้น แต่น่าจะหมายถึงการตั้งนิกายใหม่ และรวมไปถึงการมีอิทธิพลไปครอบงำวงการสงฆ์ไทยทั่วประเทศ ซึ่งครั้งหนึ่งถึงขั้นเหิมเกริมท้าชนกับมหาเถรสมาคม ขอกำหนดทิศทางของคณะสงฆ์ของตัวเอง
    
       เมื่อมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในวันหน้า ก็มีทางเดียวที่จะสามารถบรรลุไปถึงได้ก็ต้องประสานเคียงคู่ไปกับระบอบทักษิณเท่านั้น
    
       ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาทั้งหมด มันช่างบังเอิญและสอดคล้องต้องกัน เพราะมีการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นขบวนการ และเมื่อมาถึงวันนี้เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์กับ “เดอะไทมส์” ออนไลน์ ที่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาก็เผ็นจิ๊กซอร์ที่เชื่อมถึง กันพอดี จนกลายเป็น “ใบเสร็จ” ที่เป็นหลักฐานมัดจนดิ้นไม่หลุด !!



-


-

-



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น